Thursday, February 10, 2022

How to understand ven. Pa-Auk tawya's teaching (hacked method)

 Main Article: https://wiki.5000y.men/en:how_i_did_change_myself_from_a_reader_to_a_practitioner

All I wrote below are hacked method for a person who doubt in ven. Pa-Auk's teaching to stop their CetoKhila in the tipitaka-memorizer like ven' Pa-Auk tawya and get back to meditate follow him, so the best way to understand ven. Pa-Auk tawya still be "doing follow him directly, start with the jhana-meditation" and this hacked method is only a choice for the poor wholesome-mind-power like me.


สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้เป็นเพียงวิธีอ้อมๆ สำหรับแก้เจโตขีละกิเลสที่ฉุดจิตไม่ให้พัฒนาของคนที่ลังเลสงสัยในคำสอนพะอ็อคตอยะ ผู้ซึ่งชำนาญกรรมฐานทุกกองและทรงจำพระไตรปิฎกบาลีอรรถกถาบาลีถึง 6 รอบ เพื่อให้ผู้ที่ปรามาสท่านไว้มีทางกลับมาปฏิบัติตามท่านได้, ฉะนั้น วิธีที่ดีที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุด ยังคงเป็นการทิ้งความรู้ความเข้าใจเดิมๆให้หมด แล้วทุ่มเทปฏิบัติตามคำสอนของท่านโดยไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งสิ้น.


Every sutta below must be memorized every character in Pali form with deep understood follow Netti cannon rule such as PubbaparaSandhi (context's relativity), etc. and the hacker must meditate all 40 meditations follow tipitaka before, no exception because you are doubt in the tipitaka memorizer. You need to act like him every step to understand him.


Let's go…


ผู้ที่จะทำความเข้าใจพะอ็อคตอยะ จะต้องทรงจำพระสูตรและอรรถกถาที่อ้างอิงถึงทั้งหมดเป็นภาษาบาลีที่เชื่อมโยงตามหลักเนตติปกรณ์ทุกๆอักขระเท่านั้น เช่น หลัก ปุพพาปรสนธิ เป้นต้น และจะต้องเคยทำกรรมฐานทุกกอง ทั้ง 40 กอง ในพระไตรปิฎกมาแล้วอย่างชำนาญ. ที่ต้องทำทุกอย่างไม่มีข้องดเว้นให้ เพราะผู้ที่สงสัยพะอ็อคตอยะกำลังสงสัยในผู้ทรงจำพระไตรปิฎกบาลีพร้อมทั้งอรรถกถาบาลี ฉะนั้น คุณต้องทำให้ได้แบบท่านทุกๆ อย่าง จึงจะสามารถเข้าใจวิธีคิดของท่านได้โดยที่มีโอกาสผิดพลาดน้อยที่สุด (ถ้าผิดพลาดปุ๊ป ก็มีโอกาสเป็นอริยุปวาทะ เป็นเจโตขีละ ได้ทันที).


All autocracy, democracy, and righteousnessy could be right or wrong depending on the doer's mind moments, wholesome is right, unwholesome is wrong.


อัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธัมมาธิปไตย สามารถจะผิดก็ได้ จะถูกก็ได้ ขึ้นอยู่กับขณะจิตล้านๆ ครั้งของผู้ที่ทำว่า เป็นกุศลทั้งหมดหรือไม่ หรือมีอกุศลเกิดแทรกโดยไม่รู้ตัว?


However the ordinaries normally often decide right as wrong and wrong as right because of clinging on view (ditthi-upadana), such as thinking about 'what I am answer must be right, others' must be wrong', etc. This always happen because of no virtues/moral (sila), no 8 jhana (samadhi), and no 8 knowledges(8 vijja) according to DN1 BrahmajalaSutta, DN 2 SamannaphalaSutta, DN 10 SubhaSutta, and DN 15 MahanidanaSutta.


อย่างไรก็ตาม, ปุถุชนปกติมักจะตัดสินถูกเป็นผิด ตัดสินผิดเป็นถูก เพราะยังมีทิฏฐุปาทาน ศีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทานอยู่ เช่น ปุถุชนชอบคิด (โดยไม่รู้ตัวว่า) ว่า "ฉันคนเดียวพูดถูกเท่านั้น คนอื่นหน่ะพูดผิดทั้งนั้นแหละ" เป็นต้น ซึ่งไม่ตรงตามสภาวะจริงที่เกิดขึ้นมากมายมหาศาล เพราะเหมารวมสิ่งที่ต่างกันยิบย่อบให้เป็นเหมือนกันหมดว่า "ทั้งหมดนี่ผิด ทั้งหมดนี่ถูก". สิ่งเหล่านี้ เกิดขึ้นในปุถุชนตลอดเวลา เพราะเขาไม่มี ศีล ไม่มีสมาบัติ 8 ไม่มีวิชชา 8 ตามที่ท่านอธิบายไว้ใน ที.พรหมชาลสูตร, ที.สามัญญผลสูตร, ที.สุภสูตร, ที. มหานิทานสูตร, ม.กายคตาสติสูตร, และ ที. มหาสติปัฏฐานสูตร.


So, according to DN 2 SamannaphalaSutta, the Buddha taught about virtues/moral (sila), 8 jhana (samadhi), and 8 knowledges(8 vijja) to let the listener understood the way to cease the argument of teacher and student at the beginning of DN2 and DN1.


ดังนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปุถุชนผู้มากไปด้วยความคิดเห็นผิดเพี้ยนจากสิ่งที่เกิดได้จริงเหล่านั้นให้เป็นเขากลายเป็นพระอริยะเจ้าได้, พระพุทธเจ้าจึงสอนศีล สมาบัติ 8 และวิชชา 8 ไว้ใน ที.สามัญญผลสูตร เพื่อให้ผู้ฟังสะสางอุปาทาน 4 โดยเฉพาะสักกายทิฏฐิ ซึ่งเป็นเหตุแห่งทิฏฐิ 62 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทั้งตอนต้น (ศิษย์กับอาจารย์เถียงกันและลัทธิครูทั้ง 6) และตอนท้ายของที.พรหมชาลสูตร (สูตรตรแรกของสูตรทั้งปวง) และที.สามัญญผลสูตร (สูตรที่ 2 ของสูตรทั้งปวง). ซึ่งท่านพระอานนท์เรียงลำดับไว้ใน ที.สุภสูตรว่า อธิจิตตสิกขา คือ ฌาน 4 และ อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8.


To access insight the second to the seventh knowledge, the Buddha taught MN 119 Kāyagatāsatisutta to let the practitioner practice AdhiCittaSkkha (concentration meditation), and taught DN 2 SamannaphalaSutta to start the second to the seventh knowledge.


According to DN 10 SubhaSutta, every 8 vijja is AdhiPannaSikkha base on 4th Mastery Jhana.


ฉะนั้นเพื่อที่จะได้วิชชาที่ 2-7 พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน ม.กายคตาสติสูตรไว้ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับฝึกอธิจิตตสิกขา ซึ่งเป็นบาทฐานของ วิชชาทั้ง 8 (ฌาน 4 จะทำให้ได้ปริกัมมโอภาส ซึ่งเป็นพื้นฐานของ photographic memory ที่ทางฝั่งตะวันตกจัดพวกที่มีความสามารถนี้ว่าเป็นพวกอัจฉริยะ เช่น ไอนสไตน์, นุน วรนุช เป็นต้น). และเมื่อได้ฌานสมาบัติแล้วจึงทรงสอน ที. สามัญญผลสูตร เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการฝึก วิชชาที่ 2-7.


สมดังที่ท่านพระอานนท์แสดงไว้ใน ที.สุภสูตร สรุปความได้ว่า อาโลกสัญญาเป็นบาทฐานของฌานสมาบัติ และว่า อธิปัญญาสิกขา คือ วิชชา 8 ที่มีฌาน 4 เป็นบาทฐาน.


To access insight the first knowledge, VipassanaNanaVijja, in the smallest particle, smaller than atom, which the ordinary think they are only same one, the Buddha taught DN 22 MahāsatipaṭṭhānaSutta to analysis the molecules of smallest particles (samuha-ghana), time-period of smallest particles' various moments (santatighana), co-working-duties of smallest particles' various duties (kicca-ghana), same time being-knew-objects of smallest particles' various being knew in same time.


According to DN 15 MahanidanaSutta, all above particles (plus nibbana and pannatti) are relative each others as 24 conditions, which means every particle is impermanence, suffering, and uncontrollable.


DN 15 is the end of DN 1 which I've quoted above.


ต่อจากนั้น เพื่อจะแทงตลอดวิชชาที่ 1 คือ วิปัสสนาญาณวิชชาที่เป็นไปในปรมัตถธรรมที่เล็กละเอียดที่สุด ละเอียดยิ่งกว่าอะตอม ที่ซึ่งปุถุชนมักจะคิดถึงแบบลวกๆ รวมๆ เป็นก้อนว่า "ก้อนคน", "หนึ่งวินาทีที่สนทนาธรรมนี้เป็นกุศลทั้งหมดเลย" เป็นต้น, พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอน ที. มหาสติปัฏฐานสูตร เพื่อสอนฝึกแยกแยะก้อนคน ก้อนวินาทีเหล่านั้นออกเป็นชิ้นๆ ตามจริงว่า


ปรมัตถธรรมแต่ละอย่างๆ มากมายที่เกิดพร้อมกัน จนปุถุชนผู้เชื่องช้าไม่ละเอียดยึดมั่นผิดว่า "เป็นก้อนจริงๆทั้งหมด" (สมูหฆนะ),

ปรมัตถธรรมแต่ละขณะๆ ที่เกิดต่อกันอย่างรวดเร็วไม่มีระหว่างคั่นกว่าล้านๆครั้งในเสี้ยววินาที จนปุถุชนผู้เชื่องช้าไม่ละเอียดยึดมั่นผิดว่า "เป็นดวงเดียวกันหมดตลอด 1 วินาที" (สันตติฆนะ),

ปรมัตถธรรมแต่ละอย่างๆ ทำหน้าที่ไม่เหมือนกันแต่ทำด้วยกันอย่างรวดเร็ว จนปุถุชนผู้เชื่องช้าไม่ละเอียดยึดมั่นผิดว่า "จิตเป็นผู้รู้อย่างเดียว จึงเที่ยงแท้ (ทั้งๆ ที่มีเจตสิกและรูปมากมายร่วมกันทำหน้าที่อื่นๆ ทำให้จิตไม่เสถียรดับไปอย่างรวดเร็วตลอดเวลา แต่ปุถุชนไม่เคยรู้ ไม่เคยเห็นด้วยตาปัญญาเลย)" (กิจฆนะ),

นามปรมัตถ์รับรู้ฆนะ 4 ซึ่งมีรายละเอียดยิบย่อยต่างๆกัน เกิดดับรวดเร็วนับไม่ถ้วนดังกล่าวข้างต้น จนปุถุชนผู้เชื่องช้าไม่ละเอียดยึดมั่นผิดว่า "กำลังคิดถึงสิ่งๆเดียว (only one object)" (สันตติฆนะ)

ซึ่งตาม ที. มหานิทานสูตรนั้น ปรมัตถธรรมข้างต้น ปรุงแต่งซึ่งกันและกันเป็นปัจจัย 24 และเพราะความละเอียดยิบย่อยมีปัจจัยนับไม่ถ้วนเช่นนี้ สังขตธรรมทั้งปวงจึงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้เลย.


All of what I answered above are described follow the the relativity of entire DN's structure. According to the history record, DN was memorized by Ananda-thera, the Buddha's brother. He was the main role in the first Buddhist council who accepted by almost all Buddhist party.


สิ่งที่เข้าพเจ้าอธิบายมาข้างต้น ได้อธิบายตามโครงสร้างของสูตรในทีฆนิกาย เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว พระอานนท์ น้องชายของพระพุทธเจ้า ท่านและลูกศิษย์เป็นผู้ที่สงฆ์ 500 ในสังคายนาครั้งที่ 1 มอบให้ทรงจำรักษาทีฆนิกายนี้ ซึ่งท่านเป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฎกทุกนิกาย ฉะนั้น การจะใช้พระสูตรที่ท่านรักษาไว้มาเป็นอรรถกถาอธิบายพระไตรปิฎกจึงให้ความชัดเจนที่สุด นอกจากนี้พระอานนท์ยังเป็นพระเถระที่เป้นที่ยอมรับทั้งของฝ่ายเถรวาทและมหายานอีกด้วย.

Thursday, July 16, 2020

Oral tradition in Commentary

We have Nikaya-Memorizers from 0 BE till now. Monks have the rules to memorize Sutta when growing up.
DN Commentary:
etenevupāyena asītibhāṇavāraparimāṇaṃ khandhakaṃ, pañcavīsatibhāṇavāraparimāṇaṃ parivārañca saṅgahaṃ āropetvā ‘‘idaṃ vinayapiṭakaṃ nāmā’’ti ṭhapesuṃ . vinayapiṭakāvasānepi vuttanayeneva mahāpathavikampo ahosi. taṃ āyasmantaṃ upāliṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘āvuso, imaṃ tuyhaṃ nissitake vācehī’’ti.
...
tadanantaraṃ mahāvaggaṃ, tadanantaraṃ pāthikavagganti, evaṃ tivaggasaṅgahaṃ catutiṃsasuttapaṭimaṇḍitaṃ catusaṭṭhibhāṇavāraparimāṇaṃ tantiṃ saṅgāyitvā ‘‘ayaṃ dīghanikāyo nāmā’’ti vatvā āyasmantaṃ ānandaṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘āvuso, imaṃ tuyhaṃ nissitake vācehī’’ti.
tato anantaraṃ asītibhāṇavāraparimāṇaṃ majjhimanikāyaṃ saṅgāyitvā dhammasenāpatisāriputtattherassa nissitake paṭicchāpesuṃ – ‘‘imaṃ tumhe pariharathā’’ti.
tato anantaraṃ satabhāṇavāraparimāṇaṃ saṃyuttanikāyaṃ saṅgāyitvā mahākassapattheraṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘bhante, imaṃ tumhākaṃ nissitake vācethā’’ti.
tato anantaraṃ vīsatibhāṇavārasataparimāṇaṃ aṅguttaranikāyaṃ saṅgāyitvā anuruddhattheraṃ paṭicchāpesuṃ – ‘‘imaṃ tumhākaṃ nissitake vācethā’’ti.
tato anantaraṃ dhammasaṅgahavibhaṅgadhātukathāpuggalapaññattikathāvatthuyamakapaṭṭhānaṃ abhidhammoti vuccati. evaṃ saṃvaṇṇitaṃ sukhumañāṇagocaraṃ tantiṃ saṅgāyitvā – ‘‘idaṃ abhidhammapiṭakaṃ nāmā’’ti vatvā pañca arahantasatāni sajjhāyamakaṃsu. vuttanayeneva pathavikampo ahosīti. Translation:
As I've explained, 500 bhikkhus in first council recited 80 Bhanavara of Khandhaka (VN.Bhikkhu,Bhikkhuni,Maha,Cula) and 25 Bhanavara of Parivara together, then called it Vinaya-Pitaka. At the end of reciting, the land shook. 500 bhikkhus in first council ordered Upali "Teach VinayaPitaka to your students, Avuso".
...
500 bhikkhus in first council recited 64 Bhanavara in systematized language which included 34 Sutta 3 Vagga step by step (SilakkhandhaVagga, Mahavagga, Pathikavagga) together, then called it DigaNikaya and ordered Ananda "Teach DigaNikaya to your students, Avuso".
Then 500 bhikkhus in first council recited MajjhimaNikaya 80 Bhanavara together, and
they ordered Sariputta's students "Keep it, Avuso".
Then 500 bhikkhus in first council recited SamyuttaNikaya 100 Bhanavara together, and
they ordered Kassapa "Teach SamyuttaNikaya to your students, Bhante".
Then 500 bhikkhus in first council recited AnguttaraNikaya 120 Bhanavara together, and
they ordered Anuruddha "Teach AnguttaraNikaya to your students, Avuso".

The Rule

in commentary according to V.N. Mahākhandhaka:**
Qualities of nissayamuccaka-bhikkhu (teaching lay people)
  1. Proficient to recite pāṭimokkha-pāli and to understand it's commentary.
  2. Proficient to recite and to understand 4 bhāṇavāra (~1,000 syllable) of sutta and their commentary, to teach laymen on uposatha day.
  3. Proficient to recite and to understand sutta for bhikkhu's life such as andhakavindasutta, mahālahulovādasutta, ambaṭṭhasutta, etc.
  4. Proficient to recite and to understand sutta for teaching in 3 chances: banquet for saṅgha by layman (nidhikaṇdasutta), funeral ceremony (tirokuṭṭasutta), and auspicious ceremony (maṅgalasutta).
  5. Enough understand to judge/to decide about saṇgha's ceremony such as uposatha, pavāraṇā, etc.
  6. Proficient to recite and to understand his kammaṭṭhānā throughout the nibbāna-course.
  7. 5 years experience in monk hood as a monk.
Qualities of bhikkuparisūpaṭṭhāpaka-bhikkhu (teaching bikkhus)
If above layman's teachers want to teach bhikkhus (ūpajjhā-ācāriya, nissaya-ācāriya), they must increase their skill level to all of the following qualities.
These are for abhivinaya teaching:
  1. Proficient to recite mahāvibhagha and bhikkhunivibhaṅga (first 3 books of thai 45 books pali-tipitaka) of vinaya-pitaka-pali. At least, he can relay with the other 3 bhikkhu. Proficient to understand it's commentary, too.
  2. Proficient to recite all saṇgha's ceremony in vinaya-pitaka mahāvagga and julavagga.
  3. Proficient to recite 14 vatta in vattakhandhaka.
These are for abhidhamma (kammaṭṭhāna) teaching:
  1. Proficient to recite one of this suttanta-pali: mūlapaṇṇassa (1st/3 parts of M.N.) for student in M.N. faculty, mahāvagga (2nd/3 parts of D.N.) for student in D.N. faculty, sagāthavagga+nidānavagga+khandhavāravagga of S.N. or mahāvagga of S.N. for student in S.N. faculty, before half of A.N. or after half of A.N. or ekakanipāta+dukanipāta of A.N. for student in A.N. faculty, jātaka+commentary (because kammaṭṭhāna was described in commentary) for student in jātaka faculty.
Qualities of bhikkunovdaka-bhikkhu (teaching bhikkunīs)
If above layman's teachers want to teach bhikkhunī, they must increase their skill level to all of these qualities:
  1. Proficient to recite whole tipitaka-pali and commentary-pali. Or at least, he still must recite whole tipitaka, but he can recite just one commentary of suttanta, first 4 parts of commentary of 7 parts of abhidhamma. However, vinaya-commentary is what he must recite it all.
Reference: tipitaka and commentary of vinaya pācittiyakaṇḍa bhikkhunovādakasikkhāpada and vinaya mahāvagga mahākhandhaka.

Related topic: https://buddhism.stackexchange.com/a/22917/10100 https://buddhism.stackexchange.com/a/23663/10100

Sunday, July 5, 2020

How can SukkhaVipassaka enlighten Nibbana without Appanā Jhāna.

SukkhaVipassaka can enlighten Arahatraphala without order from 9 samapatti. This kind of people must has less 5 hindrances from his birth to enlighten in 7 years, or more than that for TanhaCarita MandaPuggala (too much hindrances who avoid to practice Jhana and no knowledge in Paticcasamuppada). However, most Arahanta attain 6 Abhiñña as well according to Theragatha, so I think Arahanta try to practice 9 Samapatti after enlightenment too. The same as Arahanta try to memorize Buddha's teaching which commentary commented BhandāgāikaPariyatti (Nikaya Memorizer) is duty of Arahanta directly

Monday, December 16, 2019

Appearing breaths at somewhere near by nose tip is ok for Anapanassati

PariMukkhaṃ Satiṃ upaṭṭhapetvā = the practitioner focuses the mindfulness on only Breaths.

So satova assasati satova passasati = he is focusing the mindfulness like that and breathing out/in.

Breaths are not nose tip, touching, or feeling. Breaths are long or short wind flowing at nose tip.

Sometime breaths appear at right nostril tip, sometime left, sometime middle, some time top lip.

But you are focus on clearing appearing breaths at somewhere of those, so wherever of them is OK.

The other touching points such as in side the nose or lung is over width for clear focusing on breath and easily to get Restlessness (uddhacca), so appearing breaths on somewhere at the nose tip is the best choice for the meditation.

Friday, April 19, 2019

Day-to-day meditation and the quiet mind

Saṭipatṭhāna has many levels, such as Sīla, Khaṇika Samādhi, Taruṇa Vipassanā, Balava Vipassanā, Ariya Magga.
Sīla, Khaṇika Samādhi and Taruṇa Vipassanā do not require a quiet mind, so the practitioner can do it in day-to-day life.
Upacāra Samādhi, Appanā Samādhi (Lokiya Jhāna), Balava Vipassanā, Ariya Magga (Lokuttara Jhāna) require a quiet mind because...
  1. Upacāra Samādhi mind and Appanā Samādhi mind (Lokiya Jhāna) know only one object, unleashing five string objects, but Sīla and Khaṇika Samādhi minds know those both five string objects and unleashing five string objects, so they can't upgrade to be Upacāra Samādhi mind, Appanā Samādhi mind.
  2. Balava Vipassanā mind knows only the last vanished Vipassanā-Mind and it's three characteristics as object, but Taruṇa Vipassanā knows five string objects too, so it can't upgrade to be Balava Vipassanā.
  3. Ariya Magga mind (Lokuttara Jhāna) knows only Nibbāna, but Sīla, Khaṇika Samādhi, Taruṇa Vipassanā, and Balava Vipassanā minds know the other objects too, so they can upgrade to be Ariya Magga.
So, the definition of the meditation is:
All the wisdom of one who has attained (appanā), is, wisdom by means of development.
The meditation is the cessation of all suffering, not only the present suffering. If the meditation is not strong enough, it can ceases only the present suffering and keeps the future suffering going on.
Daily life Vipassanā is good and the practitioner should do it, but Nibbāna is the best, so only doing good is not enough to enlighten Nibbāna.
See KN Paṭisambhidāmagga, Visuddhimagga, DN Mahāsatipaṭṭhānasutta.

Tuesday, April 16, 2019

How to manage overthinking?

Overdue thinking and late thinking can stop by planning.

Over wrong view thinking and wrong decision can stop by right view thinking practice.

Over five-strings thinking can stop by upacara/appana-jhana and can cease by vipassana.

Over right view thinking (vipassana-upakkilesa) can relax by upacara/appana-jhana.

Overall suffering can cease by Nibbana. And the practitioner can attain Nibbana by adhisila+adhicitta+adhipanna.

Saturday, February 23, 2019

if I have first Jhana only for one minute, can I say that I was in the first Jhana?

After the absorption, the practitioner can say he is the obtainer of the first Jhana if the five hindrances still not arise instead of Jhana practice.
If that obtainer can't absorpt the first Jhana, but he has not an arising of the five hindrances, we still can call him as the obtainer of the first Jhana because he is in access concentration state, Upacāra-Jhāna, of the absorption concentration state, Appanā-Jhāna, which certainly going to arise if he still can keep the access concentration go on continuously.
The five hindrances are a major one important keyword of this question. Focus on it.

At the first time absorption, Jhana arises only one moment, but it is going to take the longer duration when the practitioner practice that Jhana to be the mastery skillful expert, Vasī.
It's like when the practitioner practices the weight training, no one can hold up the weight in long duration, but the practitioner can hold the weight up longer and longer after training the weight more and more.
The path of purification, Pathavikasinaniddesa:
Sā ca pana ekacittakkhaṇikāyeva.
Ñ(IV,78): But that (first time of the first Jhana) absorption is only of a single conscious moment.
Sattasu hi ṭhānesu addhānaparicchedo nāma natthi paṭhamappanāyaṃ, lokiyābhiññāsu, catūsu maggesu, maggānantaraphale, rūpārūpabhavesu bhavaṅgajjhāne, nirodhassa paccaye nevasaññānāsaññāyatane, nirodhā vuṭṭhahantassa phalasamāpattiyanti.
Ñ: For there are seven instances in which the normal extent [of the cognitive series] does not apply. They are in the cases of the first absorption, the mundane kinds of direct-knowledge, the four paths, fruition next after the path, life-continuum jhāna in the fine-material and immaterial kinds of becoming, the base consisting of neither perception nor non-perception as condition for cessation [of perception and feeling], and the fruition attainment in one emerging from cessation.
The path of purification, Vasī:
  1. Tatrimā pañca vasiyo āvajjanavasī, samāpajjanavasī, adhiṭṭhānavasī, vuṭṭhānavasī, paccavekkhaṇavasīti.
Ñ: Herein, these are the five kinds of mastery: mastery in adverting, mastery in attaining, mastery in resolving (steadying the duration), mastery in emerging, and mastery in reviewing.
... (See the explanation inside the link and book)...